ค้นหาทุกเรื่องราว..ได้ที่นี่

Custom Search

วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

4 อาหารสลายพุง

ด้วย วัฒนธรรมการกินที่เปลี่ยนไป ทำให้หนุ่มสาววัยใสที่กินไม่ระวังเริ่มตุ้ยนุ้ยก่อนวัยอันควร ใครกำลังหนักใจ เรามีอาหารที่มีการศึกษาว่าช่วยสลายไขมัน โดยเฉพาะไขมันรอบเอวได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝาก ลองกินตามสูตรนี้ดูนะคะ


1. อโวคาโด้ อะโวคาโดอุดมไปด้วยสารเบตาซิสโตสเตอรอล ซึ่งช่วยในการดูดซึมคอเลสเตอรอล มีเส้นใยอาหาร ทั้งชนิดที่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยขจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย และชนิดที่ไม่ละลายน้ำซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูก ปริมาณแนะนำต่อวัน: ¼ ถ้วย

2. บรอกโคลี่ นัก วิจัยระบุว่าสารอาหารอย่างแคลเซียมช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีที่จะสะสมไว้ เป็นไขมันส่วนเกินได้ และบร็อกโคลี่ก็มีดีที่เป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งไม่มีไขมัน ปริมาณแนะนำ: 1 1/2 ถึง 2 ถ้วย

3. ถั่วและเมล็ดพืช มี คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง พิสทาชิโอ ปริมาณแนะนำต่อวัน: 2 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำมัน เลือก กินน้ำมันที่มีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนักได้ น้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันชา น้ำมันถั่วเหลือง ปริมาณแนะนำต่อวัน: 1 ช้อนโต๊ะ



นอกจากดูแลเรื่องอาหารการกินแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

7 ขั้นตอน ตรวจภายใน ด้วยตัวเอง

วันนี้เรามีเทคนิคการตรวจภายในช่องคลอดเบื้องต้นด้วยวิธี ง่ายๆ และสะดวก แต่จะช่วยให้คุณรู้และรักษาอาการผิดปกติบริเวณจุดซ่อนเร้นของคุณได้อย่างทัน ท่วงที ถ้าพบ!



1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มตรวจ จากนั้นจัดท่าของตัวเองว่าจะนั่งหรือนอนอย่างไรให้เห็นอวัยวะเพศของตัวเอง ได้ดีที่สุด อาจจะนอนชันเข่าหลังพิงฝาโดยใช้หมอนหนุนหลัง หรือนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า ท่าใดท่าหนึ่งก็ได้ที่คิดว่าสะดวกที่สุด



2. หากระจกที่สามารถใช้ถือดูอวัยวะเพศของคุณมา 1 บาน



3. ให้ใช้มือข้างที่ถนัดแยกแคมใหญ่ทั้งสองข้างออกจากกัน แล้วมองและคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ก้อน ตุ้มแข็ง ตุ้มน้ำ แผล รอย บวม หรือมีบริเวณที่สีเปลี่ยนไป คล้ำมากหรือแดงมากหรือไม่



4. จากนั้นใช้นิ้วแยกแคมเล็กออกจากกันตรวจหาความผิดปกติต่างๆ แบบเดียวกับขั้นตอนที่ 3 แล้วตรวจดูที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีอาการบวมแดงหรือเปล่า และใช้มือดึงรั้งผิวหนังที่คลุมบริเวณคลิตอริสขึ้นไป เพื่อตรวจดูว่ามีแผลหรือไม่



5. ใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอดแล้วกดแยกหนังช่องคลอดออกจากกัน สังเกตตกขาวใน ช่องคลอด ถ้าเป็นสีขาวขุ่น เป็นมูกเหนียวหรือมูกใส มีกลิ่นคราวเล็กน้อย แสดงว่าเป็นตกขาวปกติ แต่ถ้ามีลักษณะคล้ายคราบนมที่เด็กแหวะออกมา และมีอาการคันด้วย แสดงว่าอาจมีเชื้อราหรือเชื้อพยาธิในช่องคลอด ถึงเวลาที่ต้องไปพึ่งคุณหมอสูติฯ แล้วล่ะ



6. ใช้นิ้วมือคลำบริเวณส่วนล่างของ แคมใหญ่ทั้งสอง โดยให้นิ้วมือหนึ่งอยู่ในช่องคลอด และอีกนิ้วหนึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของแคมใหญ่ ดูว่ามีก้อนคล้ายถุงน้ำบริเวณนั้นหรือเปล่า เพราะเป็นตำแหน่งของต่อมที่สร้างมูกออกมาช่วยหล่อลื่นในช่องคลอด ซึ่งท่อที่ปล่อยมูกนี้มักเจอปัญหาอุดตันได้บ่อย ถ้าคลำได้เป็นก้อนนิ่มๆ ล่ะก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อักเสบเป็นหนองได้



7. สุดท้ายตรวจบริเวณฝีเย็บและรูทวารว่ามีก้อนเนื้อที่เรียกว่า ริดสีดวงทวาร หรือเปล่า ถ้ามีก็รีบปรึกษาหมอว่าจะมีวิธีรักษาอย่างไร ไม่อย่างนั้นจะลำบากเวลาขับถ่าย

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สมุนไพร พิชิตหนาว... หนาวนี้กินอะไรดี ?


ฤดูหนาวรับประทานอะไรดี
สำหรับ การรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาว สาวๆ อย่างเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เพราะธรรมชาติจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพรในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ในฤดูหนาว มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้ ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ซึ่งสาว WP ควร เลือกรับประทานผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร
ด้วย อากาศที่หนาวเย็น เราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้น สาวๆ ควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณ อย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาว และผิวมะกรูด

สมุนไพรดูแลผิวพรรณ
+ น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน
+ ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดอาการผดผื่นตามผิวหนัง เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว หลังอาบน้ำเช้า-เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่
+ ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิว ให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณผิวด้านนอกของมะนาว มาทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น ก็จะช่วยลดอาการคันได้

การดูแลสุขภาพด้วยการอาบสมุนไพร
การ อาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน มาต้มอาบแทนน้ำเปล่า ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพร ที่หาได้ง่าย ที่ควรนำมาต้มมีดังนี้

• ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน
• ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย
• ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด
• ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ
• หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม
• ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง
• หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง
• การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ
• หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก

เพียง นำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ สรรพคุณของสมุนไพรก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยให้หายใจโล่ง แค่นี้สาวๆ ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้วค่ะ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ผลไม้ใกล้ตัวที่กินแล้ว อ้วน


ทราบหรือไม่ว่าการกินผลไม้นอกจากมีประโยชน์แล้วยังสามารถทำให้อ้วนได้อีก
วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก...

การกิน ผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมี ผลไม้ บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้ อ้วน ได้


ผลไม้

ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ กล้วยไข่


อันดับ 2 คือ กล้วยน้ำว้า

อันดับ 3 คือ ขนุน

อันดับ 4 คือ กล้วยหอม

อันดับ 5 คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

อันดับ 6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว

อันดับ 7 คือ ลองกอง

อันดับ 8 คือ เงาะ

อันดับ 9 คือ ลางสาด

อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด

แต่ ทุเรียน ก็เป็นผลไม้ ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลสูงมาก ๆ ใครที่กินรับรองอ้วนแน่ ส่วนผลไม้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากอ้วนจนเกินไป ลองหาผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนมากินกันได้

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ล้างพิษสารเคมีให้เส้นผม


เส้นผมเมื่อได้รับการจัดแต่งทรงผม ได้รับมลพิษมากๆ เข้าก็อาจจะหมักหมมเก็บกักเอาสารพิษไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว เราจะมาล้างสารพิษออกด้วยน้ำส้มสายชูค่ะ


เตรียมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย และน้ำอุ่น 3 ถ้วยค่ะ นำมาผสมกันแล้วนำมาล้างเส้นผมให้ทั่ว ค่อยๆ ล้างออกทีละหย่อมนะคะ ให้ทั่วศีรษะ สารเคมีที่ตกค้างอยู่บนเส้นผมเช่นพวกสเปรย์ เจล ก็จะถูกขจัดออกให้หมดไป จะทำให้เส้นผมกลับสู่สมดุลและดกดำอีกครั้งค่ะ

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

น้ำตาล....ตัวทำลายผิว

Sugar Free

ถ้าคุณคิดว่าการทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดปกป้องผิวของคุณได้ ขอบอกเลยค่ะว่าคุณคิดผิด เพราะล่าสุดได้มีการวิจัยของแบรนด์เครื่องสำอางดังหลายแบรนด์ออกมาว่า น้ำตาล ถือเป็นตัวทำลายผิวของเราได้ด้วยเช่นกัน



น้ำตาลเป็นตัวทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนจริงหรือเปล่า

น้ำตาลเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวเท่านั้น ผิวของคนเรามีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำลายผิวอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นอายุ สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งอาหาร ก็สามารถเป็นสาเหตุของการทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจน โดยสังเกตได้จากคนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีสภาพผิวที่ค่อนข้างกร้านกว่าคนทั่วไป และริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดมาก เนื่องจากเอนไซม์และน้ำตาลได้เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว




น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่เมื่อไร

จริงๆ น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่วัยเด็กแล้ว แต่ด้วยกลไกลการทำงานของผิวในวัยเด็กจะถูกทดแทนทันทีหลังจากถูกทำลาย มีกระบวนการซ่อมแซมที่ดีกว่าผิวของผู้ใหญ่



ผิวที่ถูกน้ำตาลทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จะมีลักษณะอย่างไร

น้ำตาลจะเข้าไปจับคอลลาเจนให้เกิดการแข็งตัว พอแข็งตัวก็จะแตกและเปราะหักง่าย หลังจากอีลาสตินและคอลลาเจนเปราะหักแล้ว ผิวตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัวลง ลักษณะจะเหมือนที่นอนสปริงที่เกิดการหัก เมื่อนอนตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัว ผิวของเราก็เช่นกัน เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ผิวบริเวณนั้นก็จะยุบตัวทันที เมื่อเกิดการยวบตัวลง ถ้ามองจากภายนอก บริเวณนั้นจะเกิดเป็นริ้วรอย และริ้วรอยจะตื้นหรือลึกก็ขึ้นอยู่กับผิวของเราโดนทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินมากน้อยแค่ไหน




เราจำเป็นต้องควบคุมน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน

การควบคุมน้ำตาลจะช่วยในระดับหนึ่งเท่านั้นสำหรับการป้องกันเรื่องริ้วรอย แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะบริโภคน้ำตาลไม่ได้เลย เนื่องจากร่างกายของเรายังต้องการพลังงานจากน้ำตาลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างพลังงาน เมื่อเราทานข้าว ขนมปัง ก็มีกลูโคส ซึ่งกลูโคสก็จะกลับมาในรูปพลังงานให้เรามีแรง แต่ถ้ารู้สึกกลัว ก็แค่บริโภคให้พอเหมาะกับความต้องการ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นเกราะป้องกัน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญเป็นผลให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายลดน้อยลง



หันมาบริโภคน้ำตาลเทียมแทนจะช่วยได้หรือเปล่า

การบริโภคน้ำตาลเทียมไม่ได้ช่วยอะไร เพราะถ้าทุกคนยังทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ข้าว หรือแม้กระทั่งเส้นก๋วยเตี๋ยว ล้วนแต่ทำมาจากแป้ง ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารจำพวกแป้งจะทำหน้าที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคส กลูโคสถือเป็นหน่วยย่อยเล็กที่สุดของแป้งหรือของน้ำตาลที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่พอมีกลูโคสมากเกินไปในร่างกายและไม่ได้เผาผลาญออกมา กลูโคสก็จะไปจับกับคอลลาเจนและอีลาสติน สุดท้ายก็จะส่งผลต่อผิวได้ในที่สุด



การออกกำลังกายจะช่วยได้หรือเปล่า

การออกกำลังกายถือเป็นเรื่องดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ยิ่งบริโภคน้ำตาลมากไปเท่าไหร่ควรมีการเผาผลาญโดยการออกกำลังกายมากขึ้นตามด้วย ระยะเวลาในการออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เริ่มตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป เพราะช่วงระยะเวลา 15-20 นาทีแรก ร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลก่อน หลังจากนั้นจะใช้จากไขมัน ถือว่าการออกกำลังกายเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการปกป้องผิวจากน้ำตาล

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หน้าเด้งด้วย ฟองเบียร์


สาวๆ ที่อยากให้ใบหน้ามีสีเลือดฝาดล่ะก็ "ยิ้มหวาน" มีวิธีมาฝากนะ ก่อนอื่นต้องไปหาเบียร์มาก่อนนะจ๊ะ ประมาณ 1/2 ถ้วยเล็ก น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วก็ไข่ไก่ 1 ฟอง


จากนั้นก็นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นให้เป็นเนื้อครีมที่เนียนละเอียด แล้วก็นำเจ้าเนื้อครีมจากฟองเบียร์สดนั่นแหละ มาพอกหน้าที่สะอาดของเราซะ พอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือจะใช้โฟมล้างหน้าที่ใช้เป็นประจำก็ได้ ทำอาทิตย์ละครั้ง ผิวหน้าก็จะกลับมาเต่งตึง และสดใสเปล่งปลั่งอย่าบอกใครเชียว

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เคล็ดลับหุ่นสวย สุขภาพดี สำหรับสาววัยทำงาน



การมีหุ่นสวย ไร้ไขมันส่วนเกิน เป็นสุดยอดปรารถนาของสาวๆ ทั้งหลาย เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ สวมใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีแล้ว ยังช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ ที่จะตามมาจากภาวะโรคอ้วนอีกด้วย ซึ่งเคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลรูปร่างให้ดูดี ไร้ไขมันส่วนเกิน คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ


สำหรับสาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาเรื่องน้ำหนักและรูปร่างที่เริ่มมีไขมันพอกพูน การเลือกรับประทานอาหารจำพวก “โฮลเกรน” หรือธัญพืชเต็มเมล็ดเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยในการลดน้ำหนักได้



โฮลเกรน เป็นธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงส่วนประกอบสำคัญของธัญพืชครบถ้วน ได้แก่ เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) เนื้อเมล็ด (Endosperm) และจมูกข้าว (Germ) ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ โฮลเกรน ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เมื่อร่างกายรับเข้าไปจะย่อยอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน ส่งผลให้ไม่ทานจุบจิบ จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น อีกด้วย



เพราะโฮลเกรนมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ วิตามินบี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องระบบขับถ่าย และช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย



นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษายืนยัน การรับประทานโฮลเกรนเป็นประจำช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้จริง จากผลการศึกษาระหว่างปี 1986-2005 ในกลุ่มชายหญิงจำนวนกว่าหนึ่งแสนคน พบว่าคนที่รับประทานโฮลเกรนเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานโฮลเกรน โดยพบว่าน้ำหนักตัวจะลด 0.49 กิโลกรัม หากรับประทานโฮลเกรนปริมาณ 40 กรัม เป็นประจำทุกวัน 1


โฮลเกรน เป็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่กำลังได้รับการพูดถึงอย่างมากในขณะนี้ โดยประเทศต่างๆ ได้ให้ความสำคัญในการหันมารับประทานโฮลเกรนอย่างแพร่หลาย เห็นได้จากข้อแนะนำด้านโภชนาการ
ของประเทศต่างๆ อาทิ My Pyramid, Steps to a Healthier You ของ USDA Dietary Guidelines
ของสหรัฐอเมริกา หรือ Canada’s Food Guide ของแคนาดา แนะนำให้เลือกรับประทานโฮลเกรนที่หลากหลายเป็นประจำทุกวัน Healthy Eating Pyramid ของประเทศออสเตรเลีย ได้ระบุอาหารเช้าที่ทำ มาจากโฮลเกรนเป็นหนึ่งในมื้อสำคัญที่มีการแนะนำให้มีการรับประทานเป็นประจำ เพื่อสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรง และช่วยป้องกันโรค



สาวๆ สามารถเริ่มต้นรับประทานโฮลเกรน เพื่อให้มีหุ่นสวย สุขภาพดี ได้อย่างง่าย ๆ โดยอาจเริ่มจาก การรับประทานโฮลเกรนเป็นอาหารเช้า ซึ่งในปัจจุบันมีอาหารเช้าที่ทำจากโฮลเกรนให้เลือกหลากหลายชนิด และสามารถเตรียมได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แถมมีรสชาติอร่อย เช่น ขนมปังโฮลวีท หรือ ซีเรียลโฮลเกรน ซึ่งควรเลือกชนิดไขมันต่ำ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เรามีหุ่นสวยและมีสุขภาพที่แข็งแรงไปพร้อมๆ กัน ได้อย่างง่ายๆ เห็นไหมล่ะว่าการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ….

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

"กาแฟ" ต้านมะเร็ง


หลายคนคงคิดว่า กาแฟ อะไรก๊าน...จะมาต้านมะเร็งได้ ดีแต่จะทำให้เป็น มะเร็ง ซะมากกว่า จริงๆ แล้วการดื่ม กาแฟ นอกจากจะทำให้สมองตื่นตัวแล้ว ยังสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ด้วย แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่าสงวนไว้ เฉพาะกาแฟพันธุ์ อาราบิก้า เท่านั้นนะจ๊ะ


แล้วที่สำคัญการดื่ม กาแฟ ต้องดื่มตอนร้อนๆ แล้วเปลี่ยนจากการใส่น้ำตาลมาใส่น้ำผึ้งแทน อ้อ...ถ้าจะช่วยในเรื่องของสุขภาพได้ ต้อง ดื่ม กาแฟ สลับกับการดื่มน้ำชา นะจ๊ะ แต่ก็อย่าดื่มทั้ง กาแฟ และชามากจนเกินไป เว้นระยะในการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้บ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเราไงจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กินอย่างไรเมื่อจำเป็นต้องอดนอน


หนุ่มๆ สาวๆ รู้ดีว่าการอดนอนทำลายสุขภาพและความสดใสมากเพียงใด แต่บางครั้ง โดยเฉพาะช่วงสอบหรือต้องทำงานให้เสร็จตามกำหนด เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอดตาหลับขับตานอนกันอยู่บ้าง จริงไหมคะ

เมื่อรู้ตัวเนิ่นๆ หลายคนเลือกที่จะลดหรือถึงขั้นงดอาหารเย็นไปเลย เพื่อหลีกเลี่ยงอาการง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งนั่นอาจทำให้หมดแรงเอาดื้อๆ วันนี้เราจึงนำเคล็ดลับการกินอาหารที่จะช่วยให้สดใสได้แม้ต้องอดนอนมาฝาก ลองทำตามวิธีการต่อไปนี้ดูค่ะ

อาหารมื้อเย็นสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้เราอยู่ดึกได้โดยที่ไม่หมดพลัง สำหรับคนที่อดนอน ควรกินอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว และ ขนมปัง ในปริมาณน้อย แต่ควรกินอาหารจำพวกปลา ผัก ผลไม้สด ทดแทนในมื้อนี้เพื่อเพิ่มความสดชื่น อย่างไรก็ตามหลังจากกินอาหารเหล่านี้ไปแล้วอาจรู้สึกหิวเร็ว ระหว่างนี้ให้กิน ผลไม้ หรือ โยเกิร์ต

แค่นี้ก็ช่วยรักษาพลังงานของร่างกายให้กระฉับกระเฉง และไม่รู้สึกอ่อนเพลียแล้วค่ะ นอกจากกินถูกวิธี การจัดสรรเวลาให้เหมาะสมก็ช่วยได้นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ยาแก้ปวด ก็มีอันตราย


ยาแก้ปวด เป็นยาที่นิยมใช้กันบ่อยที่สุด แล้วรู้หรือไม่ว่าถ้าทานเข้าไปบ่อย ๆ อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจจะทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาดร์ด ศึกษาการทานยาแก้ปวดในผู้หญิง 5,000 คน ได้แก่ ยาแอสไพริน พาราเซตามอล และกลุ่มยาต้านการอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟนหรือนูโรเฟนและนาพรอกเซน พบว่า ผู้หญิงที่กินพาราเซตามอลวันละ 500 มิลลิกรัมขึ้นไป (2-3เม็ด) มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้นอีกเท่าตัว

การทานยาแก้ปวดบ่อย ๆไม่ดีต่อสุขภาพ ควรหันมาดูแลตัวเอง ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพกันดีกว่านะค๊ะ...

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

10อันดับเครื่องดื่มมีประโยชน์ที่สุด


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ



ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ น้ำทับทิม ไวน์แดง น้ำองุ่นคอนคอร์ด น้ำบลูเบอร์รี่ น้ำแบล็กเชอร์รี่ น้ำอะซาอี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำส้ม น้ำชา และน้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อาหารบำรุงรอบเดือน

ประจำเดือนที่มาตามปกติแสดงถึงความสมบูรณ์ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และเป็นการถ่ายเทเลือดเสียซึ่งเกิดจากการสลายตัวของเยื่อบุมดลูกและสร้างเยื่อบุมดลูกใหม่หมุนเวียน ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ

แต่ละเดือนที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากจากการมีรอบเดือน ร่างกายจะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสีด้วย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ หรือมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อารมณ์เศร้าซึม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกาย หากมัวแต่อดอาหาร รักษาหุ่น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะซูบซีด ผิวพรรณไม่มีเลือดฝาด

ในช่วงมีรอบเดือน การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อร่างกายจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ได้โดยเน้นที่อาหารบำรุงเลือด เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น ซึ่งให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดสูง

สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาน้อยหรือมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมี ความผิดปกติ ในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีเนื้อร้ายที่มดลูกก็ได้

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สายตาสั้นนั่งหน้าจอ ระวังต้อหิน

ใครที่รู้ตัวว่าสายตาสั้น แล้วชอบนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วล่ะก็ ระวังอาจเป็นต้อหินได้ วันนีมีความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...


ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น กล่าวว่า..

นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้

คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงานที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5% และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินอยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่า

ผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันไปปรับเก้าอี้นั่งให้ห่างจากหน้าจอประมาณ 1 ช่วงแขน เพื่อเป็นการถนอมสายตากันด้วย.

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิธีลดไขมันในอาหาร เพื่อลดความอ้วนได้แก่...

ลดอาหารทอด... น้ำมันในอาหารทอดจะซึมเข้าไปในเนื้ออาหาร ทำให้ดูมีไขมันต่ำกว่าจริง คนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนไม่ควรกินอาหารทอดเกินวันละ 2-3 ช้อนกินข้าว หรือไม่กินเลยยิ่งดี
กินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ผักน้ำพริก และสลัดแทน... ถ้ากินสลัดควรเลือกน้ำสลัดที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ ผักน้ำพริก (ถ้าไม่มีพืชหัว เช่น ฟักทอง ถั่ว ฯลฯ) ให้กำลังงานประมาณ 20 แคลอรี (น้ำพริก 2 ช้อนกินข้าว) เท่านั้น การกินข้าวกล้องกับผักน้ำพริกเป็นสูตรลดความอ้วนง่ายๆ ที่อิ่มนาน และมีคุณค่าทางอาหารสูง
เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวแห้ง... ก๋วยเตี๋ยวแห้งมักจะต้องคลุกเส้นกับน้ำมันหมู เพื่อให้คล่องคอ(เวลากลืน) การกินก๋วยเตี๋ยวแห้งมีส่วนทำให้ได้รับน้ำมันจากสัตว์ ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มขึ้นมาก ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวน้ำแทนจะลดกำลังงาน(แคลอรี)ไปได้มาก เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวน้ำใช้น้ำหล่อลื่นแทนน้ำมันหมู
เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวผัด เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ฯลฯ... การผัดหรือทอดทำให้น้ำมันซึมเข้าไปภายใน กลายเป็น "น้ำมันล่องหน" และเสี่ยงต่อการกินมากเกิน
งดแกงกะทิ... กะทิมีไขมันมะพร้าว ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก
งดนมไขมันเต็มส่วน (whole milk)... คนที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปควรงดนมไขมันเต็มส่วน ดื่มนมไม่มีไขมัน (nonfat) หรือนมไขมันต่ำ (low fat) แทน
ไม่กินเมล็ดพืช เช่น ทานตะวัน ฯลฯ มากเกินวันละ 1 กำมือเล็ก หรือที่ดีกว่านั้นคือ ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

วิธีเพิ่มอาหารกำลังงานต่ำ เพื่อลดความอ้วนได้แก่

กินผักแบบ "ผักครึ่งหนึ่ง-อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง" หรือเพิ่มผักเป็น 3 ใน 4 ของอาหารทั้งหมด เพื่อให้ได้แร่ธาตุ วิตะมินเพิ่มขึ้น อิ่มมากขึ้น หิวน้อยลง
กินข้าวกล้อง หรือข้าวโอ๊ตแทนข้าวขาว กินขนมปังโฮลวีท(สีรำ)แทนขนมปังขาว และไม่กินแป้งมากเกิน ถ้าไม่ชอบข้าวกล้องจริงๆ อาจใช้จมูกข้าวสาลี (wheat germ) หรือรำข้าวเติมไปในข้าวขาว เพื่อเพิ่มเส้นใย(ไฟเบอร์)
นำถั่วเหลือง(คุณค่าโปรตีนสูงมาก) หรือถั่วแดงหลวง(เส้นใยหรือไฟเบอร์สูงมาก)มาแช่น้ำ ต้ม เก็บใส่ตู้เย็นไว้ นำมาเสริมโปรตีน และลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างน้อย 50% เช่น ซื้อกับข้าวมา ตักเนื้อออก ใส่ถั่วไปแทนอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ฯลฯ
กินผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง ส้ม ฯลฯ ไม่มากเกิน และงดหรือลดผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ฯลฯ
กินน้ำผักได้ น้ำผักที่ช่วยให้อิ่มได้นานคือ น้ำมะเขือเทศ น้ำผักหัว (root vegetables) เช่น ฟักทอง ฯลฯ มีน้ำตาลและแป้งค่อนข้างมาก พวกนี้ควรกินแต่น้อย กินเนื้อผักจะได้เส้นใย(ไฟเบอร์)ครบส่วนมากกว่าน้ำผัก
ไม่ควรกินน้ำผลไม้มากเกิน เนื่องจากน้ำผลไม้มีน้ำตาลสูงมาก
งด-ลด-ละ-เลิกขนม น้ำตาล น้ำหวาน... การใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาล หรือการดื่มเครื่องดื่มที่ใช้น้ำตาลเทียมมีส่วนช่วยลดกำลังงาน หรือแคลอรีจากเครื่องดื่มลงได้
ถ้าดื่มกาแฟ... กาแฟชงเองมีแคลอรีต่ำกว่ากาแฟสด หรือกาแฟที่ร้านค้าชงมา
งด-ลด-ละ-เลิกเหล้า เบียร์ ไวน์ (แอลกอฮอล์) เนื่องจากแอลกอฮอล์ให้กำลังงานสูง มีน้ำตาลปนอยู่ และทำให้ขาดสติ... กินมากไป เลยอ้วนเลย

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ถั่วเขียวขจัดรอยด่างดำ


ไม่ว่าจะเป็นรอยด่างดำจากการบีบสิว หรือจากการต้อง ออกแดดบ่อยๆ รวมไปถึงรอยแผลที่เกิดจากผื่นคันตามร่างกาย เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับผิวเนียนใสของสาวๆ อย่างแน่นอน แต่จะมีวิธีไหนล่ะ ที่จะทำให้รอยด่างดำเหล่านี้หายไป โดยไม่เกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญ คือ ประหยัด

คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ถั่วเขียว เพราะนอกจาก ถั่วเขียว จะเป็นอาหารที่ทานแล้วสามารถเยียวยาสารพัดอาการได้แล้ว ยังนำมาทาเป็นยาบำรุงผิวเพื่อลบรอยด่างดำให้จางหายไปได้อีกด้วย

วิธีการก็ง่ายๆ เลย ดังนี้

1. เตรียมส่วนผสมให้ครบครัน ได้แก่

ถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ
มันฝรั่ง 1 หัว
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา


2. นำ ถั่วเขียว และ มันฝรั่ง มาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุก แต่ไม่ต้องถึงกับเปื่อย จากนั้นนำ ถั่วเขียวและ เนื้อมันฝรั่ง ที่ได้มาบดรวมกัน โดยไม่ต้องให้ละเอียดนัก เติม น้ำมันมะกอก ลงไป ผสมจนเข้ากันดี


3. นำส่วนผสมที่ได้มาขัดผิวกายโดยเฉพาะบริเวณที่มีจุดด่างดำ โดยใช้เวลาขัดประมาณ 5 นาที ส่วนผสมที่มีเนื้อและเปลือกถั่วเขียวที่บดหยาบๆ ผสมกับเส้นใยของมันฝรั่งบด จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม


4. เมื่อขัดเสร็จแล้วก็ให้ไปอาบน้ำ หรือล้างออกด้วยสบู่ และควรทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์ รอยด่างดำจะค่อยๆ เลือนหายไป

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5 ไลฟ์สไตล์ของผิวใสสุขภาพดี


สิ่งที่ทำเฉพาะกิจ ย่อมไม่มีประสิทธิผลเท่าสิ่งที่ทำเป็นประจำ ดังนั้น การดูแลความสวยงามและสุขภาพผิวที่ดี จึงควรต้องทำในทุกวันอย่างสม่ำเสมอ และนี่คือ 5 ไลฟ์สไตล์สะดวกสบายที่ WP นำมาฝากค่ะ ถ้าปฏิบัติได้เป็นกิจวัตร รับรองว่าผิวของคุณจะใส เปล่งประกายออร่าได้ยิ่งกว่าเซรั่มทรีตเมนต์หลอดละสามหมื่นแน่นอน อ่านแล้วทำเลย


1. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

กินอาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย

กินอาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

กินอาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น

กินน้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

กินวิตามินเอ ซึ่งดีต่อสุขภาพของผิวหนังและการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายและสายตา ถ้าขาดวิตามินเอ ผิวหนังจะแข็ง และเป็นเกล็ดฝอยไปอุดต่อมน้ำมัน และต่อมเหงื่อ วิตามินเอที่ควรกินมีอยู่ 2 ชนิด คือ แคโรทีนซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย พบอยู่ในอาหารที่มีสีส้มสดและสีเหลือง ได้แก่ แครอท มะเขือเทศ และผักใบเขียว อีกชนิดคือ เรตินอล มีอยู่ในน้ำมันตับปลา ไข่ นม และเนย

กินธาตุสังกะสี ปกติในผิวหนังมีปริมาณธาตุสังกะสีค่อนข้างสูง แต่เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเข้าวัยหนุ่มสาวก็ยิ่งต้องการธาตุสังกะสีมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การกินอาหารที่มีสังกะสีป็นประจำจึงช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การซ่อมแซมเนื้อเยื้อ และเสริมสมดุลการทำงานในระบบฮอร์โมนต่างๆ ของร่างกายได้ครบถ้วน ควรกินอาหารที่มีโปรตีน เช่น หอยนางรม เนื้อวัว ตับวัว ขาไก่

กินอาหารที่มีกากใย เช่น ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืช ผักและผลไม้ก็ช่วยให้การขับถ่ายดี ลดน้ำตาลในเลือดอันเป็นสาเหตุของสารพัดโรค ลดปริมาณอาหารที่มีไขมันสูง ลดอาหารที่มีรสเค็มจัด และพยายามดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด เพราะอาหารเหล่านี้จะเพิ่มความดันของเลือดให้สูงเกินปกติ อันจะส่งผลต่อระบบสมดุลผิว

2.ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ

ถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย จะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย

3.พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชม. ช่วยให้ผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหารร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ

4.ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด เพื่อผิวและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ควรหาเวลาออกกำลังให้สม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาที

5.ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ

การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้น และควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำยังควรต้องทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วีธีรักษาอาการปากแห้ง


ในช่องปากเรามีน้ำลายหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา ต่อมน้ำลายทำหน้าที่ผลิตน้ำลายออกมาเพื่อย่อยอาหาร คลุกเคล้าและหล่อลื่นให้อาหารกลืนได้ง่าย นอกจากนี้น้ำลายยังทำให้เยื่อบุในช่องปากชุ่มชื่นตลอดเวลา หากมีสภาพผิดปกติทำให้น้ำลายไหลน้อยลง เราจะรู้สึกอาการปากแห้งมีภาวะผิดปกติไปจากที่เป็นทำให้รู้สึกหงุดหงิด และมีผลข้างเคียงหลายๆ อย่าง

การปล่อยทิ้งให้มีอาการปากแห้งนานๆ อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อราในช่องปากได้ง่ายขึ้น

ฟันผุและโรคเหงือกอักเสบในช่องปาก
รู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ในช่องปาก
มีกลิ่นปาก หรือทำให้กลืนลำบาก ฝืดคอ
หากมีฟันปลอมแบบถอดได้ การที่ปากแห้งมีผลให้การใส่ฟันปลอมหลวมและใส่ไม่ค่อยสบาย

อะไรเป็นสาเหตุให้ปากแห้ง

ที่พบบ่อยคือ การใช้ยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ antihistamine ยาลดน้ำมูก คัดจมูก(De Congestant) ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต ยาลดอาการซึมเศร้า โดยข้อเท็จจริงแล้วมียามากกว่า 400 รายการที่มีผลข้างเคียงทำให้ปากแห้ง การใช้ยาจึงควรศึกษาใบกำกับยา หรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์
ปากแห้งอาจเกิดจากการฉายแสงในการรักษามะเร็งที่ศีรษะ ในช่องปาก ใบหน้า ลำคอ ต่อมน้ำลาย เพราะผลจากรังสีทำให้การไหลของน้ำลายลดน้อยลงอย่างเด่นชัด

คนที่เป็นโรคเบาหวาน
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน

สาเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้การไหลเวียนของน้ำลายน้อยลง

จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อย่างไร

เคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาล
จิบน้ำบ่อยๆ
ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์
งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมทั้งหลาย

คนที่มีอาการปากแห้งบ่อยๆ ควรพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปาก ฟัน เหงือก และควรมีข้อมูลการใช้ยา และโรคประจำตัวที่เป็น เพราะจะช่วยให้การวิเคราะห์หาสาเหตุแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น
การดูแลรักษาสุขภาพในช่องปากสำหรับคนที่ปากแห้งน้ำลายไหลน้อยคงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากธรรมดา เพราะการไหลของน้ำลายช่วยให้อาหารถูกคลุกเคล้าและกลืนได้ง่าย น้ำลายจะช่วยผลักอาหารให้ไหลลื่น มากกว่าที่จะเกาะติดกับตัวฟันและเหงือก ในรายที่ปากแห้งมากๆ การเกาะติดของอาหารที่ฟันและเหงือกก็เพิ่มมากขึ้น และการกลืนจะทำได้ลำบากมากขึ้น การเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบก็ทวีขึ้นเช่นกัน

เราจะดูและฟันและเหงือกอย่างไร

แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอหลังอาหารทุกครั้ง
อย่าลืมใช้ Dental floss ทุกครั้งที่แปรงฟัน ขจัดคราบอาหารที่ติดตามซอกฟัน
ใช้แปรงซอกฟัน
ทันตแพทย์อาจเคลือบฟลูออไรด์เพิ่ม
อมน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์แต่ไม่มีแอลกอฮอล์


อย่าลืมว่า การที่มีริมฝีปากแห้งนอกจากจะสร้างความหงุดหงิดแล้วยังมีผลต่อสุขภาพฟันและเหงือกอย่างมาก หากเรารู้สภาพ เพิ่มความเข้มงวดในการทำความสะอาดฟันมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้สุขภาพฟันดีและอยู่ให้ยาวนานได้ไม่ยุ่งยากเลย

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี

การรักษาสุขภาพช่องปากให้ดีอยู่เสมอนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรทำอยู่เสมอ การที่คุณมีสุขภาพปากและฟันที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณพูดด้วยความมั่นใจ และเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดีขึ้นด้วย


การดูแลที่คุณจะทำได้ทุกวันก็คือ การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความ
สะอาดช่องปาก ซึ่งก็จะช่วยลดหรือหยุดยั้งปัญหาในช่องปากได้
• แปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงและใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 ครั้ง
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเหงือกและฟัน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยว
• ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
• ใช้น้ำยาบ้วนปากเมื่อทันตแพทย์แนะนำให้ใช้
• ให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ หรือรับประทาน
สารฟลูออไรด์หากว่าอาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล

สำหรับการแปรงฟันที่ถูกต้องนั้นมีวิธีการคือ
• วางแปรงให้ทำีมุม 45 องศากับเหงือก และแปรงให้โดนส่วนของฟันเท่านั้น
หลีกเลี่ยงการถูแปรงสีฟันกับเหงือก
• แปรงด้วยน้ำหนักพอเหมาะ ให้ทั่วถึงทุกด้านของฟัน และเป็นจังหวะสั้นๆ
• ห้ามลืมแปรงลิ้นด้วยเพื่อขจัดแบคทีเรียต่างๆ


การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องมีวิธีการดังนี้
• ไหมขัดฟันที่ใช้แต่ละครั้งควรยาวประมาณ 30 – 45 เซนติเมตร
• ถูไหมขัดฟันไปตามส่วนโค้งของฟัน
• ต้องไม่ลืมทำความสะอาดตามร่องฟัน แต่ไม่ควรถูไหมขัดฟันกับเหงือก



เคล็ดลับดีๆ เหล่านี้เมื่อคุณนำไปปฏิบัติตาม คุณจะมีสุขภาพปากและฟันที่ดีอย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อาหารคู่ใจนักไดเอท

อาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย จึงเหมาะที่นักไดเอทจะพกไว้เป็นเสบียงคู่ใจเพื่อต่อสู้กับความหิวที่จะมาเยือนเวลาเราลดน้ำหนัก


1. ลูกเกด

ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารของเราทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การลดความอ้วนได้ผลและระบบย่อยก็ทำงานเป็นปกติ ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสาวๆ ที่กำลังไดเอทนั้น เจ้าลูกเกดก็จะช่วยให้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย จะได้ไม่ต้องกินอะไรเพิ่ม



2. แอปเปิ้ล
จะไดเอทกี่ทีก็ต้องมีแอปเปิ้ล เพราะมันเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารมาก กินแล้วหนักท้องดีนัก แถมยังไม่หวานจัด แคลอรีต่ำ และมีคุณค่าอาหารเพียบ ดีขนาดนี้ แม้แต่เวลาที่ไม่ไดเอท ก็ไม่ควรมองข้ามแอปเปิ้ลหรอกนะ



3. ลูกพรุน
ลูกพรุนคือสุดยอดแหล่งรวมวิตามิน กินแล้วช่วยให้ผิวสวย เหมาะสำหรับนักไดเอทที่มักจะมีผิวพรรณเหี่ยวแห้ง หน้าตาซีดเซียว นอกจากนี้ลูกพรุนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หมดปัญหาเรื่องหน้ามืดตาลายและทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี น้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ


4. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
ข้าวกล้องจะช่วยให้สาวๆ อิ่มนาน เพราะมันมีเส้นใยสูงมาก ทำให้หนักท้อง ตัดปัญหาเรื่องอยากกินของว่างหรือของจุกจิกทิ้งไปได้เลย ส่วนสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ในข้าวกล้องก็ดีต่อสุขภาพของเรา ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี หมดปัญหาอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง


5. อาหารทะเล
อาหารทะเลในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หอยนางรม หรือปลาหมึกที่มีโคเลสเตอรอลสูง แต่ควรจะกินปลาตัวเล็กๆ ปลาทูน่า แซลมอน ปลาซีดีนเท่านั้น สารซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี ในปลาพวกนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาท คุณจะได้ไม่กลายเป็นน้องเอ๋อ สมองเสื่อม คิดอะไรไม่ออกระหว่างที่ลดความอ้วนไง



6. ถั่ว
คนที่ลดน้ำหนักมักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี หงุดหงิดงุ่นง่านเห็นช้างเท่าหมูได้ทั้งวัน แต่ถ้าได้กินถั่วจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะร่างกายจะได้รับวิตามินบีและแมกนีเซียม ซึ่งช่วยการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลายเป็นแม่หญิงสวยประหารประจำกลุ่มแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทำครีมนวดผมใช้เอง


สูตรครีมนวดผมสูตรนี้เหมาะสำหรับผมแห้งนะคะ เริ่มด้วยการเตรียมน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะและไข่ไก่ 1 ฟองค่ะ


นำน้ำมันมะพร้าวมาผสมลงในไข่แดง (ไข่ขาวเก็บเอาไว้ใช้กับสูตรอื่นๆ ได้ค่ะ) ตีให้เข้ากันแล้วพักไว้ก่อน สระผมด้วยแชมพู จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาชโลมผมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ 45-60 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้จะช่วยให้ผมนุ่มสลวยสวยเก๋ มีน้ำหนักค่ะ

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความอ้วนเกิดจากอะไร?

ความอ้วนเกิดจากอะไร?



1. ความอ้วนที่เกิดจากสาเหตุภายนอก อันเนื่องมาจากตามใจปากมากเกินไป
กินมากเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่คุณกินเนื้อ ไขมัน หรือแป้ง
สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมัน
พอกพูนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

2. ความอ้วนที่มาจากสาเหตุภายใน พบได้จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ทำให้มีไขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และ
หน้าท้อง

3. อ้วน เพราะกรรมพันธุ์ในหญิงหรือในชายแล้วใครจะอ้วนกว่าใคร ?
จากการสำรวจโดยทั่วไปผู้หญิงมักอ้วนมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงกินเก่งกว่า แต่ออกกำลังน้อยกว่า
สรุปแล้วผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชาย 4 : 1 หญิงและชายที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป มักจะอ้วนง่ายเพราะ
คนวัยนี้ยังอยู่ในวัยทำงานมาก กินมากขึ้นเพื่อชดเชยกำลังงานที่ถูกใช้ไป แต่ออกำลังน้อยลง นี่ก็เป็นสาเหตุ
ทำให้อ้วนง่ายมาก

คนมีสุขภาพจิตดี มักมีรูปร่างสมส่วนแข็งแรง บางคนสุขภาพจิตไม่ดี อารมณ์เครียดประจำทำให้เกิด
ความท้อถอย เบื่อหน่าย ขี้เกียจออกกำลังโรคอ้วนก็จะตามมา

สาวน้อยคนที่ชอบหม่ำ ชอบตามใจปากทั้งหลาย จะหม่ำอะไรก็ได้แต่อย่าลืมออกกำลังกายด้วย ไขมันจะได้
ไม่ไปพอกพูนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ลดต้นขาสู่ขาเรียวสวย


ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของขาเรียวสวย เสน่ห์แห่งสรีระอีกส่วนที่ใครๆ ก็ต้องการ ขาจะเรียวสวยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตั้งแต่ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อดู firm อยู่เสมอหรือไม่ หญิงใดได้ฉายา “ขาใหญ่” ย่อมมิเป็นที่ถูกใจอย่างยิ่งยวด มาเริ่มบริหารต้นขากันด้วยท่าต่างๆ ที่คุณสามารถบริหารเองได้ที่บ้านกันดีกว่า

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจสรีระของต้นขา ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นขาด้านหน้าเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่มีส่วนในการใช้เดิน ต้นขาด้านข้างเป็นเนื้อ และต้นขาด้านหลังเป็นแหล่งสะสมของไขมัน การที่จะลดต้นขาให้ firm และได้สัดส่วนเรียวงามขึ้นควรจะบริหารทั้ง 3 ส่วนเท่าๆ กัน นอกจากผลที่ได้กับต้นขาแล้ว คุณยังจะได้รับผลข้างเคียงต่อหน้าท้องที่จะลดตามไปด้วยในตัว

ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าการบริหารต้นขาคุณจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการ warm up ร่างกายทุกครั้ง เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ



หั ว ใ จ สำ คั ญ ข อ ง ก า ร อ อ ก กำ ลั ง ก า ย

Warm up เพื่อเตรียมความพร้อม ให้ระบบร่างกายทุกส่วนได้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายให้ค่อยๆ สูงขึ้น จนทำให้โลหิตหมุนเวียนทั่วร่างกาย ออกซิเจนไหลเวียนดี ร่างกายจึงพร้อมออกกำลังกายอย่างปลอดภัย การ Warm up สามารถใช้ความร้อนช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็ได้ เช่น อบไอน้ำ เซาว์น่า ระยะเวลาในการบริหารทั่วไปประมาณ 10 นาที

Stretching บริหารเพื่อยืดเอ็น กล้ามเนื้อให้ยืดหยุ่นก่อนที่จะออกกำลังกายได้นานๆ สามารถป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อเอ็น และข้อในขณะออกกำลังได้ถึง 80 % ระยะเวลาในการ Stretching ที่พอเหมาะควรจะไม่มากหรือน้อยเกินไป เช่นถ้า warm up 10 นาที ควร Stretching 5 นาที หรือสลับเวลากันก็ได้

Warm down สำหรับคนทั่วไปเพื่อให้หัวใจเต้นช้าลงหลังจากการออกกำลังกาย มาอยู่ที่ระดับปกติ คือประมาณ 120 ครั้ง/นาที ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี การ Warm down สามารถทำได้โดยการเดินช้าๆ เพื่อให้ระดับหัวใจเต้นช้าลงมาที่ระดับ 100 ครั้ง / นาที



เ ท ค นิ ค แ ล ะ ท่ า บ ริ ห า ร ต้ น ข า

บางท่าของการบริหารต้นขาแต่ละส่วนมีให้เลือก 2 ท่า คุณสามารถเลือกท่าที่คุณถนัดได้ หรือจะบริหารทุกท่าเลยก็ได้

บริหารต้นขาด้านหน้า 1
1. นอนหงายราบลงบนพื้น สอดมือทั้งสองข้างรองไว้ที่ก้น งอเข่าซ้ายเข้าหาอก แล้วเหยียดขาขวาตรงขึ้นข้างบนอย่างช้าๆ
2. เมื่อเหยียดขาขวาได้สุดแล้ว ให้นิ่ง และหายใจตามปกติ
3. ให้รู้สึกได้ถึงความตึงที่ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังของลำขาทั้งหมด
4. กลับสู่ท่าเริ่มต้นใหม่ โดยให้เข่าขวางอเข้าหาหน้าอก แล้วเหยียดขาซ้ายตรงขึ้นข้างบนบ้าง ทำสลับกันเช่นนี้ ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
5. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์



บริหารต้นขาด้านหลัง 1
1. นอนคว่ำหน้าลงบนหลังมือทั้งสองข้าง โดยมีเบาะรองพื้น
2. กดสะโพกให้แนบติดพื้น ขณะเดียวกันก็เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเอาไว้
3. ค่อยๆ งอขาขวาเข้าหาก้นอย่างช้าๆ โดยต้นขาด้านหน้ายังแนบติดกับพื้นเบาะ
4. นิ่งสักครู่ก่อนที่จะลดเท้าลงเหมือนเดิม จะรู้สึกได้กับกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังในขณะปลายเท้างอเข้าใกล้กัน
5. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
6. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท/วัน 3-5 วัน /สัปดาห์



ข้อแนะนำ : ควรควบคุมจังหวะในการบริหารให้สม่ำเสมอ ร่างกายส่วนบนต้องนิ่ง ยกขาขึ้นในแนวตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง กดสะโพกแนบพื้นอยู่เสมอ

บริหารต้นขาด้านนอก 1
1. นอนตะแคงเอียงข้างซ้าย(หรือขวาก็ได้ตามแต่จะถนัด)ลงบนเบาะ ร่างกายอยู่ในแนวเส้นตรง หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้
2. มือขวาวางอยู่บนพื้นด้านหน้า เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักตัว ขาซ้ายงอเล็กน้อย
3. สะโพกตรง เกร็งกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้
4. ค่อยๆ ยกขาขวาขึ้นอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเกร็งหัวเข่า
5. เมื่อยกได้สูงสุดแล้วให้นิ่งไว้สักครู่ จากนั้นค่อยๆ ลดขาลง แล้วหยุดอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย
6. จะรู้สึกได้ถึงความตึงของต้นขาด้านนอกขณะที่ยกขาขึ้น
7. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
8. ควรปฏิบัติ 3 ชุด / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์



บริหารต้นขาด้านใน 1
1. นอนตะแคงข้างซ้ายบนเบาะ หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้
2. งอเข่าขวาชี้ตรงมาด้านหน้า ท่อนล่างทำมุมฉากกับต้นขา โดยวางเข่าขวาบนพื้น หรือยกพ้นพื้นเล็กน้อย
3. ขาซ้ายเหยียดตรง พยายามดึงกล้ามเนื้อจากเท้าขึ้นตามแนวของต้นขา
4. ยกขาซ้ายขึ้นสูงให้เป็นแนวเส้นตรง แล้วลดลง
5. จะรู้สึกได้กับความตึงของต้นขาด้านใน ขณะที่ยกขาขึ้นจากพื้น
6. สลับขาข้างซ็ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง ( 1 เซ็ท)
7. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 ครั้ง / สัปดาห์



ข้อควรระวังหลังออกกำลังกาย และเกิดการเหนื่อยเต็มที่

ห้ามหยุดนิ่งทันที ถ้าต้องหยุดยืนควรขยับเท้าช้าๆ เพื่อให้ชีพจรค่อยๆ เต้นช้าลงทีละน้อย
ห้ามนั่งลงทันที

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ล้างพิษสารเคมีให้เส้นผม


เส้นผมเมื่อได้รับการจัดแต่งทรงผม ได้รับมลพิษมากๆ เข้าก็อาจจะหมักหมมเก็บกักเอาสารพิษไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว เราจะมาล้างสารพิษออกด้วยน้ำส้มสายชูค่ะ


เตรียมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย และน้ำอุ่น 3 ถ้วยค่ะ นำมาผสมกันแล้วนำมาล้างเส้นผมให้ทั่ว ค่อยๆ ล้างออกทีละหย่อมนะคะ ให้ทั่วศีรษะ สารเคมีที่ตกค้างอยู่บนเส้นผมเช่นพวกสเปรย์ เจล ก็จะถูกขจัดออกให้หมดไป จะทำให้เส้นผมกลับสู่สมดุลและดกดำอีกครั้งค่ะ

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไฟเบอร์สกัดจากเมล็ดแมงลัก กับการลดน้ำหนัก


แมงลัก ( Psylium ) เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูล Plantaginaceae ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Plantago psyllium โดยพบว่าเมล็ดของต้นแมงลัก จะมีเยื่อหุ้มเมล็ด ( Husk) ซึ่งจะให้ใยอาหารหรือไฟเบอร์ ที่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ถึง 25 เท่าของน้ำหนักตัวเอง และเมื่อดูดซับน้ำไว้แล้ว ไฟเบอร์จากเมล็ดแมงลัก ก็จะมีลักษณะเป็นเยื่อเมือกลื่นที่เรียกว่า Mucillage และส่วนนี้เองที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และโภชนาการอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
ในทางโภชนาการเราสามารถจำแนกชนิดของเส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ อย่างง่ายๆ ตามลักษณะของการละลายน้ำได้ 2 ชนิด คือ

1. ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ( Soluble fiber ) ซึ่งเมื่อไฟเบอร์นี้ละลายน้ำ จะมีลักษณะเป็นเจลขึ้น ซึ่งจะเกาะติดกับโมเลกุลของไขมัน จากอาหารที่รับประทานเข้าไปได้เป็นอย่างดี ทำให้ป้องกันการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด และไฟเบอร์ชนิดนี้ก็จะนำพาสารอาหารที่ติดอยู่ขับออกไปทางอุจจาระ จึงช่วยลดระดับไขมันและน้ำตาลในคนไข้ที่มีปัญหาได้ดี และทำให้น้ำหนักตัวค่อยๆ ลดลงอย่างปลอดภัย

2. ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำได้ ( Insoluble fiber ) ไฟเบอร์ชนิดนี้จะมีการทำงานคล้ายๆ ฟองน้ำ ( sponge) โดยจะทำการดูดน้ำไว้กับตัวเองทำให้พองตัว ถ้าหากรับประทานไฟเบอร์ชนิดนี้เข้าไป ก็ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง เพราะรู้สึกอิ่มแน่นท้อง นอกจากนี้ ก็จะส่งผลให้ปริมาณที่ต้องการขับถ่ายมากขึ้น ทำให้เร่งให้อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านไปลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น จึงป้องกันปัญหาการดูดซึมสารอาหารเข้าร่างกาย และทำให้ลดและป้องกันภาวะท้องผูก

จากประโยชน์ดังกล่าวของไฟเบอร์จากเมล็ดแมงลัก จึงได้มีการนำเมล็ดแมงลัก มาทำการลดน้ำหนัก แก้ไขปัญหาไขมันในเลือดสูง หรือน้ำตาลในเลือดสูง และใช้ป้องกันและรักษาปัญหาท้องผูก ซึ่งมักมีการผสมไฟเบอร์ทั้งสองแบบ

ในสัดส่วนที่แตกต่างกันในแต่ละผลิตภัณฑ ์ แต่ส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาด ก็มักจะประกอบด้วย ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ประมาณ 70-80 % เพื่อป้องกันการดูดซึมไขมันและน้ำตาลเข้ากระแสเลือด และ ไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ ประมาณ 20-30 %

เพื่อช่วยทำให้อิ่มเร็วขึ้นและเร่งการขับถ่าย มิให้ท้องผูก เพื่อแก้ปัญหาสารตกค้างในลำไส้ ทีอาจก่อให้เกิดมะเร็ง และแก้ไขปัญหา ริดสีดวงทวาร ในคนที่ขับถ่ายได้ลำบาก

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ลดความอ้วนแบบนับ 1 2 3


"ความอ้วนเป็นปัญหาของผู้คนจำนวนมากในบ้านเรา ผู้ที่ให้ความสำคัญกับรูปร่างโดยเฉพาะผู้หญิง ดูจะห่วงเรื่องนี้เป็นพิเศษ ความอ้วนทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน การรักษาความอ้วน มีหลายวิธี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การผ่าตัด และการใช้ยาเป็นวิธีหลักๆ ที่ใช้มากมียาใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเรื่อยๆ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึง การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการลดความอ้วนระยะยาว"

ความอ้วนกับโรคภัยไข้เจ็บ
การมีน้ำหนักมากเกินมีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นครับ หมายความว่า คนอ้วนตายมากกว่าคนผอมและยังสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ต่อการตายที่สูงขึ้นของโรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคเบาหวานอีกด้วย

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีอยู่ไม่น้อย ที่เกี่ยวกับ น้ำหนักตัวมากเกินไป คนอ้วนมีโอกาสที่จะมีโคเลสเตอรอลในเลือด สูงกว่าคนผอมถึง 50% และยังมักมีไขมันชนิดอื่นสูงอีกด้วย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันก็ชอบคนอ้วนครับเป็นมากกว่าคนผอม หรือคนไม่อ้วนแยะทีเดียว โรคเบาหวานก็เป็นอีกโรคที่ชอบความอ้วน อ้วนปานกลางจะทำให้เป็นโรคเบาหวานสูงถึง 5 เท่า ถ้าอ้วนมาก จะเป็นเบาหวานสูงขึ้น 10 เท่าเลยล่ะ

สำหรับผู้ชายอ้วนมีโอกาสตายจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็ง ต่อมลูกหมากสูงกว่าคนไม่อ้วน ในผู้หญิงอ้วนก็มีโอกาสเสียชีวิตสูง จากมะเร็งของโพรงมดลูก, ถุงน้ำดี, ปากมดลูก, รังไข่ และมะเร็งเต้านมครับ

คนอ้วนโดยทั่วไปจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดโรคของถุงน้ำดี, โรคปอด, โรคเกาต์, มะเร็ง และโรคข้ออักเสบ ครับ เรียกว่า รับเลอะเลยทีเดียว สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คือ การเสียเงินเสียทองเยียวยารักษา เป็นภาระอันหนักอึ้งแสนสาหัสของครอบครัวและของรัฐบาลด้วย

สาเหตุของความอ้วน
คนอ้วนส่วนใหญ่อาจเรียกได้ว่า "อ้วนเอง" คือ ไม่ได้มีโรค อันเป็นเหตุให้อ้วนโดยตรง นอกเหนือจากการกินเข้ามามากกว่า การใช้ออกไป มีน้อยมากครับที่อ้วนจากโรค เช่น โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด, โรคทางพันธุกรรม, อ้วนจากยาหรือจากโรคของระบบประสาท
ปัจจุบันเราถือว่า การอ้วนเป็นภาวะอันเกิดจาก หลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธ์, วัฒนธรรม, สังคม, เศรษฐกิจ, พฤติกรรม และปัจจัยด้านสถานการณ์รอบด้านครับ

แนวทางแก้ไขความอ้วน
คงต้องยอมรับครับว่า การลดความอ้วนให้ได้ผลระยะยาวนั้น เป็นเรื่องยาก ตัวแปรหลักอยู่ที่ตัวผู้อ้วนเอง ไม่ใช่หมอ สำหรับหมอ เราก็ถือว่า ความอ้วนก็เช่นเดียวกับเบาหวานหรือความดันสูง คือ เป็นโรคเรื้อรัง หายขาดยาก ได้แค่บรรเทา คือ คุมไว้อย่าให้กำเริบ
และก็ยังเหมือนกับโรคเรื้อรังอื่น ตรงที่ไม่สามารถแก้ไข ได้โดยรวดเร็ว จะว่าไปแล้วก็ยังไม่มีวิธีรักษาที่ถูกใจคนไข้เลย เพราะคนไข้จะพอใจก็ต่อเมื่อต้องได้ผลดี คือ ผอมเร็ว และผอมนานไม่กลับมาอ้วนอีก

ในทางทฤษฎีแล้วจะต้องเผาผลาญพลังงานไปถึง 3500 กิโลแคลอรี่ จึงจะลดไขมันลงไปได้ 1 ปอนด์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่ควรลดน้ำหนักลงเร็วกว่า 1-2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เห็นไหมล่ะครับว่า จะลดน้ำหนักกันเร็วๆ ไม่ได้ไม่ควรทำ และโรคอ้วนนี่ก็ชอบกลับมา เป็นซ้ำเป็นซากอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมหายขาดซะที


ตารางที่ 1 รวบรวมกิจกรรมที่ใช้กันบ่อยเพื่อลดน้ำหนัก


รวบรวมกิจกรรมที่ใช้กันบ่อยเพื่อลดน้ำหนัก
วิธีลดน้ำหนักที่ใช้กันมาก

กิจกรรมผู้ใหญ่ : วัยรุ่น :
ชั่งน้ำหนักตัวเองสม่ำเสมอ ออกกำลังกาย
เดินออกกำลัง อดอาหารบางมื้อ
ดื่มเครื่องดื่มคุมน้ำหนัก ใช้ยาลดน้ำหนัก
กินเกลือแร่ วิตามิน
คำนวณแคลอรีที่กิน
อดอาหารบางมื้อ
ใช้อาหารลดน้ำหนักที่มีขาย
ใช้บริการของโปรแกรมลดน้ำหนัก
ใช้ยาลดน้ำหนัก

ผู้หญิงดูจะใช้มากเป็นพิเศษ วิธีที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นที่ยอมรับ ทางการแพทย์ แต่บางวิธีก็ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพหรือไม่

ในบรรดาวิธีต่างๆ ที่ใช้ควบคุมความอ้วน วิธีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งรวมถึง การปรับเปลี่ยนการกินอาหารนับเป็นวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด วิธีใช้ยาดูเหมือนว่าตอนแรกจะลดน้ำหนักได้เร็ว แต่ในระยะยาวแล้ว สู้วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้เพราะคุมความผอมไว้ได้นานกว่า

การปรับเปลี่ยนอาหารเริ่มจาก การให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสารอาหาร พลังงานจากอาหารและชนิดของอาหารต่างๆ จุดประสงค์เพื่อให้สามารถเลือกรับประทานอาหารได้เหมาะสม, สามารถคิดปริมาณพลังงานจากสารอาหารได้ และรู้หลักของ การจัดอาหารให้สมดุล

ผู้ที่ต้องการควบคุมอาหารมากๆ อาจจำกัดพลังงานอาหาร ให้เหลือเพียง 400-800 กิโลแคลอรีต่อวัน กิจกรรมออกกำลัง มีความสำคัญในการลดน้ำหนักมากครับ เพราะช่วยเร่งการใช้พลังงาน หรือเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ออกไปอีกทางหนึ่ง รวมแล้ว พลังงานแต่ละวันก็จะติดลบ คือ ใช้มากกว่ารับประทานเข้าไป น้ำหนักก็จะลดลงเรื่อยๆ


ตารางที่ 2 แสดงปริมาณพลังงานที่ใช้ในการออกกำลัง ด้วยกิจกรรมต่างๆ ไว้


พลังงานที่ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับผู้ที่หนัก 70 กิโลกรัม

กิจกรรม พลังงานที่ใช้ (กิโลแคลอรี่ต่อนาที)
เดินช้า ๆ 3-6
เดินเร็ว ๆ 6-8
วิ่งช้า ๆ 10-13
วิ่งเร็ว 15-18
ปั่นจักรยานช้า ๆ 4-8
ปั่นจักรยานเร็ว 10-15
กายบริหารเบา ๆ 4
เต้นรำ 5-8
เล่นสเก็ตน้ำแข็ง 6-11
ขึ้นบันไดปกติ 6
ขึ้นบันไดเร็ว ๆ 8-10
ทำความสะอาดบ้าน 4
ว่ายน้ำธรรมดา 6
กวาดสนามหญ้า 5
ตัดหญ้า 5

ถือหลักง่ายๆ ว่า ยิ่งออกแรงมากก็ยิ่งใช้พลังงานมาก ถ้าทำกิจกรรมหลายๆ อย่างผสมกันจะช่วยให้ใช้พลังงานออกไปมากขึ้น

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โภชนาบำบัดสำหรับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง


ที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูงมักมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง หรือไม่ก็โรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งการรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ถือเป็นรากฐานสำคัญในการป้องกันและรักษาภาวะคอเลสเตอรอลสูงในเลือดได้ ดังนั้นความเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างมาก

การบริโภคอาหารเพื่อป้องกันและลดคอเลสเตอรอลในเลือด

1. รับประทานคอเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โดยคอเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น และจะมีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ และสัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก

2. รับประทานอาหารในแต่ละวัน ที่ให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม / ตารางเมตร คำนวณจากน้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น 50 / (1.5)2 = 22.2 กิโลกรัม / ตารางเมตร

3. หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ อย่างหมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น

4. รับประทานอาหารที่ให้กรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การที่เรารับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก ประมาณร้อบละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณมีคอเลสเตอรอลสูงในเลือดจากสาเหตุอื่น เช่น กรรมพันธุ์โรคบางชนิด ควรรับประทานยาลดคอเลสเตอรอลและรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีคอเลสเตอรอลสูงในเลือดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนาบำบัดจะช่วยส่งเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และช่วยลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทำงานบ้านก็ลดความอ้วนได้นะ


คุณรู้หรือไม่ว่าการที่คุณทำงานบ้าน 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 200-250 กิโลแคลอรี่เชียวค่ะ โดยงานบ้านนั้นจะต้องเป็นงานที่เคลื่อนไหวร่างกายตลอดอย่างต่อเนื่องค่ะ เช่นกวาดบ้าน ถูบ้าน จัดข้าวของต่างๆ เป็นต้น


คนที่มีเวลาออกกำลังกายน้อย จึงควรหาเวลาซักผ้าเองด้วยมือ (ไม่ใช้เครื่อง) หรือทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน เริ่มตั้งแต่ทำอาหาร ไปจนถึงการออกไปรดน้ำต้นไม้หรือล้างรถ เป็นต้น ทีนี้ ก็ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะบอกว่าไม่มีเวลาแล้วนะคะ เพราะงานเหล่านี้เราก็ต้องทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อันตรายจากการอดอาหาร


'คุณมีประสบการณ์อย่างนี้บ้างหรือเปล่า
คุณมีน้ำหนักมากเกินไป คุณเริ่มลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร น้ำหนักคุณลดไป 5 กิโลกรัม คุณรู้สึกพอใจที่คุณลดน้ำหนักได้

หลายเดือนต่อมาคุณพบว่าน้ำหนักคุณเพิ่มขึ้นเท่าเดิมอีกหรือมากกว่า คุณเริ่มลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารอีกครั้ง
แม้ว่าความอ้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่การที่มีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงทีละมาก ๆ ตลอดเวลากลับมีผลเสียมากกว่า จากการศึกษาพบว่าการมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ จะทำให้มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

และมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มสูงขึ้น ผลเสียต่าง ๆ เหล่านี้พบว่าเกิดมาจากการอดอาหารนั่นเอง โดยการอดอาหารจะทำให้ปริมาณไขมันและกล้ามเนื้อของคุณน้อยลง ซึ่งมีผลทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายคุณลดน้อยลงด้วย เมื่อคุณเลิกอดอาหารและกลับมารับประทานอาหารใหม่คุณมักจะทานอาหารมากกว่าเดิม (เป็นผลที่ตามมาจากการอดอาหาร) คุณจึงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิม หรือในบางครั้งอาจจะมากกว่าเดิมเลยทีเดียว

วิธีที่จะป้องกันภาวะที่มีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา คือลดน้ำหนักด้วยการเลือกอาหารที่รับประทาน ไม่ใช่อดอาหาร รวมทั้งใช้การออกกำลังกายเพื่อเป็นการใช้พลังงานส่วนเกิน อันจะทำให้คุณมีร่างกายแข็งแรงและมีน้ำหนักคงที่สม่ำเสมอตลอด

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ 'ไขมัน'


'ผู้คนส่วนมากมักจะคิดว่า คาร์โบไฮเดรท (อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นโรคอ้วน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวการร้ายที่ทำให้เกิดโรคอ้วนก็คือไขมันนั่นเอง อาหารพวกคาร์โบไฮเดรท ผักผลไม้ เป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย อาหารเหล่านี้

เปรียบเหมือนเพื่อนของเรา ตราบใดที่คุณสามารถลดอาหารพวกไขมันลงได้ คุณไม่ต้องไปนั่งกังวลกับจำนวนแคลอรี่ต่อวันที่คุณควรจะได้รับมากนัก คุณไม่ต้องอดข้าว แต่สิ่งที่คุณควรจะงดคือ อาหารที่มีไขมันสูงต่างๆ เช่น เนย ครีม มันหมู ส่วนพวกขนมเค็กและไอสครีมก็ไม่ได้ทำให้คุณอ้วนเพราะน้ำตาล แต่กลับทำให้คุณอ้วนจากไขมันที่ผสมอยู่ในนั้น ไขมันที่เป็นตัวการใหญ่ ไม่ใช่น้ำตาล

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นความจริงแน่หรือ คุณอาจจะยังไม่เชื่อ ลองอ่านคำอธิบายนี้ ในคาร์โบไฮเดรทและโปรตีนอย่างละ 1 กรัม จะให้พลังงานอย่างละ 4 แคลลอรี่เท่ากัน ในขณะที่ ไขมันปริมาณ 1 กรัมให้พลังงานประมาณ 9 แคลลอรี่

ดังนั้นถ้าคุณรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก คุณจะมีพลังงานเหลือเก็บสะสมค่อนข้างมาก ลองเปรียบเทียบง่ายๆคือ มันฝรั่งทอดกรอบ(มีไขมันสูง)ที่ขณะนี้กำลังนิยมรับประทานกันเพียง 1 ฝ่ามือ ให้พลังงานเท่ากับ ข้าว 1 จาน

คาร์โบไฮเดรท มีน้ำหนักต่อแคลอรี่ค่อนข้างมาก ดังนั้น การกินคาร์โบไฮเดรทจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มเร็ว คุณไม่มีทางที่จะอ้วนจากการกินคาร์โบไฮเดรทล้วนๆ แต่ถ้าคุณสามารถลดปริมาณไขมันให้ลดลงจาก 35-40 % ให้เหลือเพียง 10 % ของอาหารที่คุณรับประทาน คุณจะสามารถกินอาหารให้มีปริมาณมากขึ้นอีก ประมาณ 30 % โดยไม่เพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่คุณจะได้รับ คุณจะรู้สึกอิ่มและสบาย แต่สามารถมีน้ำหนักตัวลดลง และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวกับความอ้วนลงได้

ไขมัน นอกจากจะให้พลังงานมากกว่าอาหารชนิดอื่นแล้ว ไขมันยังถูกเผาผลาญด้วยขบวนการที่ต่างออกไปอีก ร่างกายสามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรทไปได้อย่างรวดเร็ว และถ้าคุณรับประทานในจำนวนที่เหมาะสมแล้ว คาร์โบไฮเดรทเหล่านั้นจะถูกสะสมในรูปกลัยโคเจนในกล้ามเนื้อเพียง 1 วัน และจะไม่ถูกสะสมเป็นไขมันเลย ในขณะที่ ร่างกายจะเก็บไขมันในอาหารที่ได้รับ ในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งเนื้อเยื่อเหล่านี้สามารถสะสมไขมันได้ ไม่จำกัดจำนวน การรับประทานไขมันไม่ทำให้รู้สึกอิ่ม

ดังนั้นคุณจึงกินอาหารที่มีไขมันได้เป็นจำนวนมาก และคุณก็จะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ก็มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
ถ้าอย่างนั้น คุณไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันเลยจะดีหรือไม่ คุณยังคงต้องรับประทานไขมันอยู่ เพราะไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญของการสังเคราะห์กรดไขมันของร่างกาย แต่คุณต้องการพลังงานจากไขมันเพียง 5% เพื่อสร้างกรดไขมันที่จำเป็นของร่างกาย

คุณคงเห็นด้วยแล้วว่าการกินอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้เป็นโรคอ้วน และทำให้มีอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่บางคนยังสงสัยว่า การกินอาหารไขมันต่ำ จะทำให้ได้ผลในทางตรงกันข้ามแน่หรือ แพทย์ก็คิดถึงปัญหานี้เช่นกัน จึงได้ทำการศึกษา และพบว่า ถ้าเราสามารถลดไขมันในอาหารลงได้ประมาณหนึ่งในสาม น้ำหนักจะลดลงประมาณ 10 กิโลกรัมในหนึ่งปี และอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็งจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับด้านการรักษาสุขภาพลงไปได้มาก

คองามระหง


สาวๆ หลายคนมีใบหน้าที่ขาวใสแล้ว แต่บางคนยังมีลำคอที่ดูดำคล้ำ ทำให้ใบหน้าเราขาวผิดปกติไป นั่นเป็นเพราะเราใส่ใจกับใบหน้าจนลืมดูแลผิวบริเวณลำคอไป ซึ่งผิวบริเวณนี้ค่อนข้างที่จะอ่อน


ดังนั้นทุกครั้งที่เราทาครีมที่ใบหน้าแล้วก็อย่าลืมทาที่ลำคอด้วยค่ะ อย่าปล่อยให้คอดำ หรือเหี่ยวจนเหนียงยานไปเด็ดขาดค่ะ เพราะถ้าหน้าคุณขาวเด้ง แต่คอคุณดำ เหี่ยวจนเหนียงยานแล้วคงดูไม่ดีแน่ๆ ใช่มั้ยคะ อย่าลืมค่ะว่าคอก็สำคัญ

วิธีง่ายๆ ที่จะบริหารลำคอให้เต่งตึงอยุ่เสมอก้คือ ขณะทาครีมหรือโลชั่นใช้มือนวดคลึงเบาๆ บริเวณลำคอ โดยนวดในลักษณะปัดขึ้นจากโคนไปถึงคางค่ะ อย่าทาลงเด็ดขาดนะคะ ทาครีมโดยใช้มือปัดขึ้นเสมอทุกครั้งที่ทาครีม เท่านี้ริ้วรอยต่างๆ ก็จะค่อยๆ ลดลงได้ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กระชับบั้นท้าย


นอนคว่ำกับพื้น ตัวตรง ขาแยกจากกันเล็กน้อย มือทั้ง 2 แตะที่ระดับไหล่ คางแตะพื้น หาถุงทรายหรือของหนักๆ สัก 1 - 2 กิโลกรัมมาผูกข้อเท้าทั้ง 2 ไว้

ค่อยๆ ยกขาซ้ายขึ้นจากพื้น ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ขากยังคงเหยียดตรง ค้างไว้นับ 1 - 15 ระหว่างนี้เกร็งกล้ามเนื้อขาด้วย

ทำให้ครบ 10 ชุด

ขัดเท้าด้วยนมเปรี้ยว


วันนี้เรามีสูตรขัดเท้าด้วยนมเปรี้ยวมาฝากกันค่ะ เตรียมตัวเลยนะคะ ไปหานมเปรี้ยวมาเลยค่ะ เตรียมไว้ซัก 10 ช้อนโต๊ะค่ะ และน้ำส้มสายชูประมาณ 1 ช้อนชาค่ะ


เริ่มกันเลย... นำส่วนผสมทั้ง 2 อย่าง เทรวมกัน คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ จากนั้นใช้สำลีชุบลงในส่วนผสมที่ได้ ทาให้ทั่วเท้า และล้างออกด้วยน้ำอุ่นและสบู่ค่ะ ทำเป็นประจำซักสัปดาห์ละ 2 ครั้งค่ะ เท้าก็จะนุ่มนวลขึ้นแล้วล่ะค่ะ

ซุบร้อนๆ ช่วยลดน้ำหนักได้นะ


ลองเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยซุปใสร้อนๆ สักถ้วย จะช่วยสกัดกั้นปริมาณการกินอาหารมื้อนั้นให้ลดลงจากเดิมได้ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลเวเนียบอกว่า ผู้หญิงที่ทานซุปร้อนๆ ก่อนอาหารจานหลักอาหารกลางวันจะกินอาหารลดลงถึง 100 แคลอรี่ เมื่อเทียบกับอาหารจานหลักปกติ นั่นก็คือ อาหารที่มีปริมาณน้ำมากๆ จะทำให้กินได้น้อยลง บางคนอาจใช้วิธีดื่มน้ำเยอะๆ แทนก็ได้แต่จะได้ผลไม่มเท่ากับทานซุปเพราะมีทั้งน้ำและเนื้อผสมกัน (ตามประสาคนชอบกิน)